เชื่อว่าหลายคนที่ชอบอ่านหนังสือเป็นชีวิตจิตใจ มักจะมีความฝันอยู่ลึกๆ ว่า “ซักวันหนึ่งฉันจะเขียนหนังสือให้ได้ซักเล่ม” หรือ “ฉันอยากจะเขียนหนังสือให้ได้แบบนี้” แต่ทั้งสองประโยคที่กล่าวมาขั้นต้นนั้นมักจะตามมาด้วยคำถามว่า “แล้วฉันจะเริ่มต้นอย่างไรดี?” ใช่ไหม บทความที่ผู้เขียนเขียนขึ้นนี้เป็นการเขียนที่เรียกว่า “แชร์ประสบการณ์” มากกว่า “สอน” เพราะอันที่จริงผู้เขียนเองก็ไม่ได้เขียนหนังสือเก่งอะไรหรือมีชื่อเสียอะไรนัก เพียงแต่อยากเขียนเพื่อ “แชร์ประสบการณ์” ให้กับผู้เริ่มต้น ผู้ที่ไม่รู้ และผู้ที่อยากรู้ ส่วน “ผู้” ที่อยู่นอกเหนือจากนี้คงไม่จำเป็นต้องอ่านแล้ว
โดยเบื้องต้นนี้ผู้เขียนจะเขียนตั้งแต่แรกเริ่มเลยคือ “คุณสมบัติของนักเขียน”
จะเขียนแบบไม่วิชาการเกินไปนัก โดยจะสอดแทรกเนื้อหาสาระพื้นฐานของการเขียน
พื้นฐานของนักเขียน
ตลอดไปจนถึงการส่งงานเขียนของเราไปให้บรรณาธิการนิตยสารต่างๆ
รวมถึงสำนักพิมพ์พิจารณาด้วย โดยเฉพาะอย่ายิ่งในยุคดิจิตอลด้วยแล้ว
งานเขียนไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่ตีพิมพ์ออกมาเป็นรูปเล่มเท่านั้น
หากแต่ยังมีทางเลือกอีกทางหนึ่งที่เราจะสามารถส่ง “สาร” (งานเขียน) ของเราไปสู่กลุ่มผู้อ่านได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น แน่นอนมันย่อมเป็นอะไรไปไม่ได้นอกเสียจากการทำ “หนังสืออิเล็กทรอนิกส์” หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า E-Books ซึ่งผู้เขียนจะเขียนเป็นลำดับตามขั้นตอนต่อไป
แรกเริ่มเลยหลายคนคงสงสัยว่า การจะเป็นนักเขียนนั้นจะต้องมี “คุณสมบัติอะไรบ้าง?” แน่นอนการจะทำอะไรก็ตามย่อมจะต้องมีสิ่งที่เรียกว่า “คุณสมบัติขั้นพื้นฐาน”
เป็นองค์ประกอบอยู่แล้วไม่ว่าจะเป็นนักจิตกร นักออกแบบ นักแสดง ฯลฯ
ก็ย่อมมีคุณสมบัติขั้นพื้นฐานที่แตกต่างกันไป
เพราะถ้าหากเราไม่มีคุณสมบัติพื้นฐานของสิ่งที่เราสนใจอยากจะทำแล้ว
ก็ย่อมจะทำไม่สำเร็จหรือสำเร็จยาก
ถึงที่สุดก็อาจจะถอดใจหรือล้มเลิกเอาดื้อๆ เลยก็ได้ แล้ว “คุณสมบัติของนักเขียน” ละมันจะต้องมีอะไรบ้าง? เราลองมาสำรวจตัวเองก่อนดีไหมว่าเรามีหรือขาดคุณสมบัติของนักเขียนข้อใดบ้าง
งานเขียนนั้นเป็นศิลปะแขนงหนึ่งซึ่งประกอบไปด้วยศาสตร์และศิลป์
เราต้องเรียนรู้สองสิ่งนี้ไปควบคู่กันหรือเรียกกันภาษาชาวบ้านก็ต้องว่า งานเขียนมันเป็นทั้งพรสวรรค์และพรแสวง พรสวรรค์นั้นมาจากความชื่นชอบและความสนใจส่วนตัวเป็นทุนเดิม พรแสวงนั้นมาจากการพยายามฝึกฝน
คิด วิเคราะห์ แล้วจับจุดเด่น-ด้อยในงานเขียนของบุคคลอื่นฯลฯ
ทว่านอกจากสองสิ่งที่กล่าวมาแล้วนั้น พื้นฐานสำคัญของการเขียนหนังสือคือ “การอ่าน” ยิ่งเราอ่านมากเท่าไร เราก็สามารถที่จะเขียนได้ดีมากเท่านั้น และเมื่อเรา “อ่าน” มากจนถึงระดับหนึ่งสิ่งที่ตามมาก็คือ “ความอยากเขียน”
ฉะนั้นคุณสมบัติแรกของนักเขียนที่เราควรมีเลยก็คือ “ความอยากเขียน”
อยากที่จะเขียน อยากที่จะเล่าเรื่อง
ไม่ว่าเรื่องนั้นจะเป็นเรื่องอะไรก็ตามเช่นเรื่องประสบการณ์ชีวิต
เรื่องความหลัง เรื่องความสุข เรื่องความเศร้า เรื่องความรัก
เรื่องราวในวัยเด็ก หรือเรื่องที่พบเห็นทั่วไป ฯลฯ เราจะต้องมี “ความอยากเขียน” ในระดับที่ “ทน”
ไม่ได้เสียก่อน
กล่าวคือฉันจะต้องเล่ามันออกมาให้ได้ไม่งั้นฉันอาจจะอกแตกตายไปเลยประมาณนั้น
เพียงแต่การเล่าในแบบของเรานั้นมันไม่ได้ใช้ “ปาก” เล่าหากแต่ใช้ “ปากกา” หรือใช้ “การเขียน”
เล่าแทน
ซึ่งความยากของการเล่าโดยงานเขียนนั้นมันมีรายละเอียดปลีกย่อยและยุ่งยากมากกว่าการเล่าด้วยปากมากนัก
เพราะการเล่าด้วยงานเขียนนั้นอารมณ์ความรู้สึกมันแสดงออกทางตัวอักษรไม่ได้แสดงออกทางน้ำเสียงหรือสีหน้าแบบการเล่าเรื่องด้วยปาก
ฉะนั้นเบื้องแรกนี้คุณลองสำรวจตัวเองก่อนว่าคุณจะเป็น “นักอยากเล่า” หรือ “นักอยากเขียน” มากพอหรือยัง ถ้ายังแนะนำว่าให้คุณอ่านหนังสือต่อไป เพราะเมื่อเราอ่านมากๆ ความอยากเล่าก็จะตามมาเอง
เมื่อเรามี “ความอยาก”
เขียนแล้ว
เราก็ต้องหาสิ่งที่จะมารองรับสิ่งที่เราอยากเขียนหรือที่เราอยากเล่า
นักเขียนหน้าใหม่หลายคนมักจะมาถึงทางตันในตรงนี้
คือไม่รู้จะเริ่มเขียนอย่างไร จะเขียนออกมาในรูปแบบไหนเรื่องสั้น นิยาย
บทกวี หรือความเรียงดี เมื่อไม่รู้จริงๆ
ว่าเราอยากจะเขียนในสิ่งที่เราอยากเล่านั้นออกมาในรูปแบบใดวิธีที่ง่ายที่สุดก่อนที่ความอยากมันจะหายไปก็คือ
“เขียนไดอารี่”
นักเขียนสมัยก่อนมากมายหลายคนชอบที่จะจดบันทึกประจำวันหรือเขียนไดอารี่
ซึ่งโดยส่วนตัวผู้เขียนคิดว่าคนหรือนักเขียนสมัยนี้ไม่ค่อยมีใครนิยมเขียนแล้ว
เพราะโลกโซเชียลมันเข้ามาแย่งพื้นที่ไปหมด
แต่นั้นมันก็ไม่ใช่ข้ออ้างที่ดีที่เราจะนำมันมาใช้
การเขียนไดอารี่ไม่จำเป็นจะต้องเขียนทุกวัน
เขียนเมื่อเราเจอเหตุการณ์หรือสิ่งที่เราประทับใจเช่นความเศร้าใจ
ความหดหู่ใจ ความสุขใจ หรือประสบการณ์การไปเที่ยว พูดง่ายๆ ว่า
เราบันทึกอารมณ์ความรู้สึก ณ ห้วงเวลานั้นๆ เอาไว้
เคยมีนักเขียนท่านหนึ่งหรืออาจจะหลายๆ ท่านได้ให้เคล็ดลับว่า
การเขียนบันทึกไดอารี่นั้นมันสำคัญต่อคนที่อยากจะเป็นนักเขียนมาก
เพราะเมื่อเราอยากจะเขียนเรื่องราวอะไรเราสามารถกลับไปอ่านสิ่งที่เราเขียน
สิ่งที่เรา
เคยผ่านพบ สิ่งที่เราเคยรู้สึกเอาไว้แล้วนำมันกลับมาใช้ใหม่ อาจจะใช้เป็นฉากในช่วงชีวิตหนึ่งของตัวละครของเราในนิยาย หรือหากเหตุการณ์นั้นๆ เพียงแค่ไม่กี่บันทัดที่เราบันทึกมันสามารถผูกโยงเป็นเรื่องสั้นได้ซักเรื่องก็สามารถทำได้ จำเอาไว้เลยว่าเคล็ดลับในการเขียนเบื้องแรกนี้ไม่มีอะไรมากไปกว่าการเขียน “ไดอารี่” หรือการเขียน “บันทึกประจำวัน” ฉะนั้นนักเขียนหลายๆ คนมักจะมีสมุดไดอารี่ติดตัวอยู่เป็นประจำเวลาไปไหนมาไหนเสมอ โดยเฉพาะกับนักเขียนที่ใช้ “บทกวี” มาบรรยายหรือสะท้อนความรู้สึกของตนเอง นักเขียนบทกวีมักจะมีสมุดไดอารี่ติดตัวอยู่ไม่ห่างกาย
เคยผ่านพบ สิ่งที่เราเคยรู้สึกเอาไว้แล้วนำมันกลับมาใช้ใหม่ อาจจะใช้เป็นฉากในช่วงชีวิตหนึ่งของตัวละครของเราในนิยาย หรือหากเหตุการณ์นั้นๆ เพียงแค่ไม่กี่บันทัดที่เราบันทึกมันสามารถผูกโยงเป็นเรื่องสั้นได้ซักเรื่องก็สามารถทำได้ จำเอาไว้เลยว่าเคล็ดลับในการเขียนเบื้องแรกนี้ไม่มีอะไรมากไปกว่าการเขียน “ไดอารี่” หรือการเขียน “บันทึกประจำวัน” ฉะนั้นนักเขียนหลายๆ คนมักจะมีสมุดไดอารี่ติดตัวอยู่เป็นประจำเวลาไปไหนมาไหนเสมอ โดยเฉพาะกับนักเขียนที่ใช้ “บทกวี” มาบรรยายหรือสะท้อนความรู้สึกของตนเอง นักเขียนบทกวีมักจะมีสมุดไดอารี่ติดตัวอยู่ไม่ห่างกาย
สมัยที่ผู้เขียนเริ่มเขียนหนังสือใหม่ๆ
ก็เขียนไดอารี่เหมือนกัน แต่ไม่ได้เขียนทุกวันอย่างที่บอก
คือจะเขียนเฉพราะเมื่อผู้เขียนเจอเหตุการณ์หรือมีความรู้สึกที่สำคัญๆ
ที่อยากบันทึกเอาไว้เท่านั้น
พอเราอยากเขียนเรื่องราวอะไรก็ย้อนกลับไปอ่านความรู้สึกหรือเหตุการณ์ที่เราบันทึกไว้มาใช้
อีกอย่างหนึ่งที่นักเขียนควรมีเลยคือสมุดพกเล่มเล็กๆ
ไม่ต้องถึงขนาดเป็นสมุดไดอารี่ แล้วสมุดพกละมีไว้ทำไม?
มีไว้เพื่อจดบันทึกในสิ่งที่เราต้องการให้มี เหตุการณ์ให้เกิดกับตัวละคร
เคยดูหนังฝรั่งที่มีตัวละครเอกเป็นนักเขียนไหม
จะเห็นว่าฝรั่งนั้นจะมีเครื่องบันทึกเล็กๆ ติดตัวอยู่เสมอๆ
เวลาที่เขาคิดอะไรขึ้นมาเกี่ยวกับงานที่เขาเขียนเขาก็จะบันทึกเอาไว้เป็นคำพูด
พอลงมือเขียนก็แค่เปิดฟังในสิ่งที่บันทึกเอาไว้เท่านั้น
แต่เราไม่ต้องถึงขนาดที่จะต้องบันทึกด้วยเสียงก็ได้ (ซึ่งจริงๆ ถ้าทำได้ก็ดี เพราะโทรศัพท์เดี๋ยวนี้ล้วนแต่บันทึกเสียงได้ทุกเครื่องแล้ว)
แล้วเราจะบันทึกไว้ไหน ก็ง่ายๆ เราอาจจะมีสมุดโน๊ตเล็กๆ
สมุดพกก็ได้เอาติดตัวไว้เสมอๆ
เวลาเราคิดอะไรได้ก็จดรีบจดลงไปพอถึงเวลาเขียนหนังสือเราก็แค่หยิบมันออกมาอ่านเท่านั้น
ถึงตอนนี้ผู้เขียนคิดว่านักอยากเขียนหลายคนพอจะจับแนวทางการเขียนของตนเองได้ในระดับหนึ่งแล้ว
อย่าลืมนะครับว่า “คุณสมบัติพื้นฐานของนักเขียน” เบื้องแรกเลยคือ “ความอยาก”
อยากเขียน อยากเล่า อยากบอกความรู้สึก
ความคิดเห็นในสิ่งที่เราอยากเล่าอยากนำเสนอไม่ว่าเรื่องนั้นๆ
จะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม นักเขียนดังๆ
ในอดีตไม่ว่าจะเป็นนักเขียนเมืองไทยหรือนักเขียนเมืองนอก
งานเขียนของพวกเขาเริ่มมาจาก “ความอยาก”
ทั้งสิ้น อยากที่จะสะท้อนให้เห็นถึงพิษภัยของสงคราม
อยากที่จะสะท้อนให้เห็นถึงความเศร้าโศกของสงคราม
อยากที่จะบอกเล่าเรื่องราวของผู้คนที่อยู่ในภาวะสงคราม
หรือเมื่อสงครามสงบประเทศเกิดความสุขงานของนักเขียนรุ่นใหม่ก็จะเปลี่ยนไป
อาจจะอยากเขียนเรื่องความรักของผู้คน อยากเขียนเรื่องที่อ่านง่ายๆ
ไม่เคร่งเครียดหรือบีบรัดความรู้สึกของผู้อ่านเกินไปนัก
ฉะนั้นงานเขียนจะออกมาในรูปแบบใดสภาพสังคม ณ เวลานั้นๆ
ก็มีส่วนเป็นตัวกำหนดเป็นพื้นฐานทั้งสิ้น
ถึงตอนนี้ถ้าคุณคิดว่าคุณมีความอยากมากพอแล้วลองดู “คุณสมบัติของนักเขียน” ข้อต่อไปว่าคุณมีไหมซึ่งผู้เขียนจะเขียนมาให้อ่านในบทต่อไป.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น